เหตุเหยียบกันเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 23.35 น. วันที่ 31 ธ.ค. 2014 ตามเวลาท้องถิ่น โดยจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณบันไดทางขึ้นไปยังแท่นชมวิวของแม่น้ำ 'หวงผู่' (Huangpu River) โดยผู้คนต่างพยายามจะขึ้นหรือลงจากแท่นชมวิว ทำให้เกิดการแตกตื่นและสับสน ทำให้ผู้คนที่ยืนชมวิวอยู่บนขั้นบันไดล้มลง และทับคนอื่นๆ
สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุสลดในครั้งนี้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าเกิดจากการขาดมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานที่จัดงาน เนื่องจากผู้จัดยกเลิกการแสดงแสงสี ทำให้จำนวนตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยเหลือเพียง 700 นาย ทั้งที่ในปีก่อนหน้านั้น มีตำรวจมาประจำการถึง 6,000 นาย
แต่ก็มีข่าวลือออกมาว่า ในช่วงก่อนเกิดเหตุ มีผู้นำคูปองที่มีลักษณะคล้ายกับธนบัตรเงินดอลลาร์ปลอมมาโปรยที่จุดเกิดเหตุ ทำให้ผู้มาร่วมงานต่างแย่งกันเก็บธนบัตรจนนำไปสู่เหตุเหยียบกัน แต่ตำรวจยืนยันยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สาเหตุ เพราะภาพวิดีโอในช่วงเวลาเกิดเหตุชี้ว่า คูปองถูกโปรยหลังจากการเหยียบกันเกิดขึ้น
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. โดยในเวลาประมาณ 21.28 น. เรือตงฟางจื่อซิงพาผู้โดยสารซึ่งเป็นชาวจีนทั้งหมดจำนวน 405 คน ลูกเรือ 44 คน และไกด์นำเที่ยวอีก 5 คน เดินทางล่องแม่น้ำแยงซีจากเมืองนานกิง ไปยังเทศบาลนครฉงชิ่ง รวมระยะทาง 1,500 กม. แต่เรือกลับประสบพายุทอร์นาโดเมื่อเดินทางใกล้ถึงเมืองจิ้งโจว ก่อนจะเลี้ยวเรือกลับขณะแล่นด้วยความเร็ว 7-8 นอต ทำให้น้ำเข้าท่วมเรือจนเอียงกว่า 45 องศา ก่อนจมลงในแม่น้ำซึ่งลึกประมาณ 15 ม.
เจ้าหน้าที่จีนกู้เรือตงฟางจื่อซิงสำเร็จ (ภาพ: AFP)
หลังเกิดเหตุ มีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องการดำเนินการช่วยเหลือเรือ ตงฟางจื่อซิง ช้าเกินไปหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่เริ่มเคลื่อนไหวหลังจากผู้รอดชีวิต 7 คนสามารถว่ายน้ำเข้าฝั่งไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ได้สำเร็จ แต่เวลาก็ผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งแล้ว หรือเหตุใดเรือลำนี้จึงจมลงอย่างรวดเร็ว มีการละเมิดมาตรฐานความปลอดภัยใดๆ หรือ และทำไมกัปตันจึงไม่ลดความเร็วเรือทั้งที่ต้องแล่นผ่านพายุประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ให้คำมั่นว่าจะสืบสวนหาสาเหตุที่ทำให้เรือสำราญลำนี้อับปาง ขณะที่ตำรวจจับกุมกัปตันเรือและวิศวกรคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้รอดชีวิตทั้ง 12 คนไปสอบปากคำ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการออกมา นอกจากนี้ ทางการจีนยังเซ็นเซอร์สื่อ และการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหตุเรือล่มครั้งนี้อย่างเข้มงวด โดยให้สื่อในประเทศนำเสนอแต่เรื่องราวด้านบวก อ้างว่าเข้าใจความเจ็บปวดของครอบครัวผู้เสียชีวิต และเพื่อรักษาความสงบในสังคม
ก่อนเกิดการระเบิด มีรายงานว่าเกิดไฟไหม้ที่โกดังเก็บของในเขตปินไห่ ซึ่งในเวลาประมาณ 22.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกลุ่มแรกที่ถูกส่งมาควบคุมเพลิง ใช้น้ำในการดับไฟ โดยไม่รู้ว่ามีสารเคมีอันตรายถูกเก็บอยู่ที่โกดังแห่งนี้ ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ในเวลาประมาณ 23.30 น. สร้างแรงสั่นสะเทือนเทียบเท่าแผ่นดินไหวระดับ 2.3 และสร้างคลื่นกระแทก (shock wave) รุนแรงเท่าระเบิด ทีเอ็นที หนัก 3 ตัน
30 วินาทีต่อมา ก็เกิดระเบิดครั้งที่ 2 โดยทางการจีนเชื่อว่าเกิดจากการระเบิดของสาร แอมโมเนียม ไนเตรท น้ำหนักกว่า 800 ตัน โดยระเบิดรุนแรงกว่าครั้งแรกมากมาย สร้างคลื่นกระแทกรุนแรงเท่ากับระเบิดทีเอ็นทีหนัก 21 ตัน การระเบิดยังสร้างลูกไฟพุ่งขึ้นฟ้าสูงหลายร้อยเมตร และใหญ่พอที่ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา 'ฮิมาวาริ' ของญี่ปุ่นสามารถถ่ายภาพได้จากวงโคจรโลก ขณะที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมเพลิงไหม้ได้จนถึงช่วงสุดสัปดาห์ และเกิดระเบิดขนาดย่อมอีก 8 ครั้ง ในวันเสาร์ที่ 15 ส.ค.
การสืบสวนหลังเกิดเหตุนำไปสู่การจับกุมประธานของบริษัท 'รุยไห่ โลจิสติกส์' เจ้าของโกดังที่เกิดระเบิด ฐานละเมิดกฎหมายการเก็บสารเคมีของจีน ซึ่งกำหนดให้ต้องเก็บห่างจากบ้านเรือน และอาคารสาธารณะอย่างน้อย 1,000 หลา (ราว 914 เมตร) นอกจากนี้ รองประธาน และผู้จัดการอีก 3 คน ก็ถูกจับกุมด้วยเช่นกัน พร้อมกับบุคคลที่ไม่มีการเปิดเผยชื่ออีก 7 คน ขณะที่ นายหยาง ตงเหลียง ผอ.สำนักงานตรวจสอบความปลอดภัยของจีน ถูกจับโดยสำนักงานต่อต้านการคอร์รัปชัน หลังพบว่าเขาเป็นผู้ผ่อนคลายความเข้มงวดของกฎการเก็บสารเคมีอันตราย เมื่อปี 2012
![]() |
ดินถล่มปกคลุมพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมในเมืองเซินเจิ้นเป็นบริเวณกว้าง (ภาพ: REUTERS) |
หายนะครั้งล่าสุดในจีน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. โดยฝนที่ตกหนัก ทำให้เนินดินบนเนินเขาถล่มใส่นิคมอุตสาหกรรม 'เหิงไต้อิ๋ว' (Hengtaiyu) ในเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ทำให้ตึกถล่มกว่า 33 หลัง และดินโคลนปกคลุมพื้นที่กว่า 380,000 ตร.ม. หรือขนาดเท่ากับ 50 สนามฟุตบอล บางจุดดินทับถมกันหนาถึง 10 ม. เป็นเหตุให้มีผู้สูญหายมากกว่า 70 คน พบศพผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย และทำให้ประชาชนเกือบพันคนต้องอพยพออกจากพื้นที่
เจ้าหน้าที่กู้ภัย และอาสาสมัครหลายพันคนยังคงพยายามค้นหาผู้ที่ยังติดอยู่ใต้ดิน และซากปรักหักพัง โดยความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิตเพิ่มเติมนับว่าเลือนรางเต็มที เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานกว่า 5 วันแล้ว
เหตุการณ์นี้เมื่อมองเพียงผิวเผิน จะดูเหมือนเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ดินจะถล่มลงจากภูเขาเมื่อฝนตกหนัก หากดินที่ถล่มลงมาในครั้งนี้ไม่ใช่เนินดินธรรมชาติ แต่เป็นดิน และเศษวัสดุก่อสร้างที่ถูกนำมาทิ้งเอาไว้บนเนินเขา ทับถมกันนานกว่า 2 ปี จนมีความสูงกว่า 100 ม. จึงอาจจัดได้ว่าเป็นหายนะที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์
เรื่องดังกล่าวทำให้ทางการจีนบุกเข้าตรวจค้นสำนักงานของบริษัท 'เซินเจิ้น อี้เสียงหลง อินเวสต์เมนต์ เดเวลอปเมนต์' ซึ่งเป็นเจ้าสิทธิ์ในการบริหารจัดการพื้นที่ที่ขยะจากการก่อสร้างดังกล่าว แต่ตำรวจระบุว่าไม่พบผู้ใด และเมื่อตรวจสอบลึกขึ้น เจ้าหน้าที่ก็พบว่า บริษัท เซินเจิ้น อี้เสียงหลง ไม่มีคุณสมบัติในการบริหารพื้นที่ เนื่องจากไม่ได้ลงทะเบียนด้านบริหารจัดการโลจิสติกส์กับรัฐบาล
thairath
Post A Comment:
0 comments: