เสร็จสิ้นกันไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้นอกจากจะได้รับความสนใจจากมหาชนชาวพม่าแล้ว ยังเป็นที่จับตาของคนทั่วโลกอีกด้วย สำหรับในประเทศไทย ที่ถือเป็นเป็นมิตรสหายบ้านใกล้เรือนเคียง ได้มีการตีข่าวเรื่องการเลือกตั้งของประเทศเมียนมากันอย่างต่อเนื่อง....แต่ที่หลายคนสงสัยว่าการเมืองการปกครองของดินแดนลุ่มน้ำอิรวดีนั้นแตกต่างจากความคุ้นชินของคนไทยอย่างไร วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปทำความรู้จักรัฐศาสตร์แบบฉบับพม่าผ่านมุมมองของนักวิชาการไทย
เหตุการณ์แปลกๆ วันเลือกตั้ง พบเห็นบ้าง แต่โดยรวมราบรื่น
นายวินมิตร โยสาละวิน ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำประเทศเมียนมา เล่าบรรยากาศแห่งประชาธิปไตยของชาวพม่าว่า “บรรยากาศทั้งก่อน และระหว่างที่มีการเลือกตั้ง เป็นไปอย่าคึกคัก ประชาชนชาวเมียนมา ต่างตื่นตัวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้”
ชาวพม่าให้ความสนใจในการเลือกตั้งครั้งนี้มาก ส่วนใหญ่จะแสดงออกถึงการสนับสนุนพรรค NLD ของ นางอองซาน ซูจี อย่างชัดเจน เช่น เวลาที่นางอองซาน ซูจี ทำการหาเสียงตามที่ต่างๆ ประชาชนจะพากันร่วมแห่ให้การต้อนรับ โดยเฉพาะที่เมืองใหญ่อย่างมัณฑะเลย์ ชาวบ้านต่างแสดงจุดยืนว่าจะให้การสนับสนุน นางซูจี
นายวินมิตร กล่าวต่อว่า ในวันเลือกตั้งมีเหตุการณ์ผิดปกติ 2 ครั้ง ที่เมืองมัณฑะเลย์ครั้งแรกเกิดขึ้นระหว่างการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ที่จู่ๆ ก็มีรถบัส ขนคนมาลงคะแนนถึง 6 คันรถ ระหว่างนั้นผู้สังเกตการณ์ได้มาพบเจอเข้าจึงไล่กลุ่มคนดังกล่าวพ้นเขตลงคะแนน แต่ก็มีบางคนถือโอกาสได้ใช้สิทธิ์ไปแล้ว และอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลา 22.00 น. ระหว่างการนับคะแนนของผู้ใช้สิทธิ์อยู่นั้น ได้มีการนำคะแนนที่ได้เลือกตั้งไว้ล่วงหน้ามานับรวม ซึ่งตามกฎว่าไว้ จะไม่นับคะแนนที่เลือกตั้งล่วงหน้าที่มาถึงหน่วยนับคะแนนหลัง 16.00 น. อย่างไรก็ดี หากมองในภาพรวมทั้งประเทศ ก็ถือว่าเป็นไปอย่างเรียบร้อย
“เชื่อว่าคะแนนคงไม่พลิกล็อก เพราะคนพม่าส่วนใหญ่ ต้องการให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลง และเชื่อว่า นางออง ซาน ซูจี จะได้รับชัยชนะ และล่าสุด การนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ก็พบว่าเป็นไปตามคาด พรรค NLD มีคะแนนนำในทุกเขตเมืองใหญ่” ผู้สื่อข่าวบีบีซีกล่าว
สภาพม่า..เลือกตั้งเพื่อสรรหาตัวแทน
สำหรับการเมืองของพม่าที่ฟังดูแล้วอาจจะซับซ้อน ผศ.วิรัช นิยมธรรม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำหลักสูตร ศศ.บ. พม่าศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร ฉายภาพให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า อย่างแรกต้องทำความเข้าใจการเมืองของประเทศพม่าก่อน มีลักษณะการทหารนำการเมือง ในสภาของพม่า จะมีผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง 75% ส่วนอีก 25% เป็นโควตาผู้แทนจากกองทัพ ซึ่งสภาของพม่า มีด้วยกัน 2 สภา คือ
1.สภาสูง มีที่นั่งทั้งหมด 224 ที่นั่ง แบ่งเป็นโควตาของกองทัพ 25% เท่ากับ 56 ที่นั่ง และของผู้แทนฯจากการเลือกตั้ง 75% เท่ากับ 168 ที่นั่ง
2.สภาล่าง มีที่นั่งทั้งหมด 440 ที่ แบ่งเป็นโควตาของทหาร 25% เท่ากับ 110 ที่นั่ง และของผู้แทนจากการเลือกตั้ง 75% เท่ากับ 330 ที่นั่ง
การเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการจัดตั้งรัฐบาล ผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง จะได้รับเลือกให้เข้าสู่สภาของพม่าเพื่อเสนอชื่อบุคคลให้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยจำนวนของคนที่จะเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจะมีทั้งหมด 3 คน ซึ่งมาจาก สภาสูง 1 คน สภาล่าง 1 คน และมาจากกองทัพอีก 1 คน บุคคลที่จะถูกเสนอชื่อให้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคการเมือง หรือถ้าเป็นคนที่มาจากพรรคการเมือง หากได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จะต้องตัดบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองทิ้ง จากนั้นประธานาธิบดีจะทำการจัดตั้งรัฐบาล โดยคัดเลือกบุคคลซึ่งเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคนในสภา เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ
“การเลือกตั้งครั้งนี้ยังไม่สำคัญเท่าช่วงเวลา 2-3 เดือนหลังจากนี้ ที่จะเป็นขั้นตอนการเสนอชื่อ บุคคลขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดี” อ.วิรัช กล่าว
แม้พรรค USDP ซึ่งถูกคลอดมาจากกองทัพจะปราชัยในการเลือกตั้ง และตัวแทนจากกองทัพจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี แต่ 3 กระทรวงสำคัญ อย่าง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงความมั่นคงชายแดน ยังเป็นกระทรวงที่ถูกปกครองด้วยทหารเท่านั้น แต่เชื่อว่า เวลานี้ กองทัพพม่า ต้องการให้ประชาธิปไตยทำงานด้วยกลไกที่เป็นปกติ โดยที่ทหารเป็นฝ่ายควบคุมกลไกเหล่านี้
“รัฐบาลเปรียบได้กับการทำงานเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะเคยสังกัดพรรคการเมืองไหนมาก่อน เมื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วจะต้องทำงานร่วมกันได้ ส่วนเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง กองทัพที่เป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากสถาบันกองทัพจะอยู่เหนือการเมืองอีกที” อ.วิรัช กล่าว
สถาบันกองทัพ อำนาจสูงสุดของประเทศ
อ.วิรัช กล่าวถึงบทบาทของกองทัพพม่าว่า ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลและชนกลุ่มน้อยมานานหลายทศวรรษ ฉะนั้นกองทัพจึงใช้ความมั่นคงของชาติอ้างความชอบธรรมในการมีบทบาทดูแลประเทศ แม้วันนี้ปัญหาชนกลุ่มน้อยจะเลยจุดวิกฤติไปแล้ว ส่งผลให้เริ่มเกิดประชาธิปไตยแต่ทางกองทัพก็ยังคงไม่อาจไว้วางใจได้
ปัจจุบัน มีการเจรจาหยุดยิงกับชนกลุ่มน้อยไปแล้วหลายกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะไม่เกิดการสู้รบกันอีก ส่วนชนกลุ่มน้อยที่ยังไม่ได้ทำข้อตกลงเรื่องสันติภาพกับรัฐบาลพม่า ยังมีปริมาณเกือบครึ่ง เนื่องจากเงื่อนไขในการเจรจา จำเป็นจะต้องดูเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยเป็นสำคัญ จึงยังไม่สามรถตกลงกันได้
“เรื่องความมั่นคงของชาติ จึงทำให้รัฐธรรมนูญ กำหนดสเปกประธานาธิบดี จะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการทหาร”

เลือกตั้งเสรี กองทัพรู้ดีว่าผลจะเป็นอย่างไร
อาจารย์ประจำ ม.นเรศวร เชี่ยวชาญการเมืองพม่า อธิบายถึงพรรค USDP ว่า เป็นพรรคการเมืองที่มีอดีตนายทหารเป็นสมาชิกจำนวนมาก ถึงแม้พรรคจะมีความสัมพันธ์กับกองทัพ แต่เมื่อมาทำหน้าที่ทางการเมืองแล้ว กองทัพก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งแน่นอนว่า การแข่งขันทางการเมืองของพรรค USDP ย่อมเสียเปรียบพรรค NLD เพราะประชาชนคุ้นเคยกับการปกครองโดยระบอบทหารมาอย่างยาวนาน ทำให้อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรค NLD ของนางออง ซาน ซูจี จะได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น ประชาชนชาวพม่า มองว่า ซูจี คือความหวังเดียวของประชาชน ที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบที่ประชาชนต้องการได้
“การที่ทหารปล่อยให้มีการเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นเพราะกองทัพต้องการให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแน่นอนว่าทางกองทัพ ทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องเสียรังวัดไปบ้าง แต่แท้ที่จริงแล้วทหารก็ยังคงมีอำนาจอยู่”
แต่ที่เป็นเรื่องน่าดีใจ คือ การเลือกตั้งที่เสรีครั้งนี้จะทำให้เสียงในสภามีความสมดุลมากขึ้น บทบาทของกองทัพอาจจะลดลง และหากพรรคของนางซูจีไม่ได้เป็นรัฐบาล การทำหน้าที่ในฐานะของพรรคฝ่ายค้านก็จะหนักแน่นมากขึ้นด้วย นักการเมืองจะสามารถทำให้การทำหน้าที่ตามกลไกระบบรัฐสภาอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
คนแห่มาใช้สิทธิ์ 80% สะท้อนอารมณ์คนพม่า
ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า ยังกล่าวต่ออีกว่า การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ มีประชาชนชาวพม่าออกมาใช้สิทธิ์ถึง 80% และผลการเลือกตั้ง ก็เป็นไปตามที่คาดหวังอยู่แล้ว แม้นโยบายของแต่ละพรรคอาจจะจับต้องได้ยาก แต่เรื่องการเมืองพม่านั้น เกิดจากอารมณ์ของประชาชนที่ไม่ชอบกองทัพเป็นทุนเดิม จึงแสดงออกด้วยการเทคะแนนเสียงให้กับพรรค NLD ส่วนคำพูดตอนหาเสียงของ ออง ซาน ซูจี ที่กล่าวไว้ว่าหากได้รับชัยชนะ จะมีอำนาจเหนือประธานาธิบดีนั้น เป็นเพียงกลยุทธ์ด้านการหาเสียง การจะมีอำนาจเหนือประธานาธิบดีนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากเป็นการกำหนดนโยบายของ
พรรคการเมือง แล้วประธานาธิบดีจะนำนโยบายนั้นไปใช้ย่อมทำได้ แต่อย่าลืมว่าต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาก่อน และที่สำคัญนโยบายนั้นจะต้องไม่ถูกคัดค้านจากกองทัพด้วย
"ออง ซาน ซูจี ไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญพม่า กำหนดไว้ว่า ห้ามบุคคลที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ ซูจี อาจจะทำงานในตำแหน่งอะไรสักอย่างในสภา หรือ ตำแหน่งรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนที่บอกว่าจะมีอำนาจเหนือประธานาธิบดีนั้น ในความเป็นจริง จะเกิดขึ้นได้เฉพาะเวลามีเหตุการณ์ฉุกเฉิน ประธานาธิบดีไม่สามารถทำงานได้ ถึงจะถ่ายโอนการปกครองไปให้กองทัพดูแลเป็นการชั่วคราว การที่รัฐธรรมมนูญระบุว่าห้ามบุคคลที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ส่วนหนึ่งเกิดจากพม่าเคยมีบทเรียนของการต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกมาก่อน" อ.วิรัชกล่าว
รัฐบาลชุดใหม่ ในยุคประชาธิปไตยพม่ากำลังเบ่งบาน
อุปสรรคที่รัฐบาลพม่าชุดใหม่จะต้องฝ่าฟันในการบริหารประเทศคือ โครงสร้างรัฐเป็นโครงสร้างแบบเก่า วัฒนธรรมองค์กรยังไม่ทันสมัย การจะเปลี่ยนแปลงวิธีทำงานของราชการไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ส่วนประเด็นสำคัญที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน เช่น ยกระดับการศึกษา การสร้างงาน การปราบปรามทุจริต ขจัดระบบพวกพ้องระหว่างทหารกับกลุ่มทุน ประชาชนต่างคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ แต่เชื่อว่าระยะเวลา 5 ปี ของรัฐบาล จะสามารถแก้ปัญหาได้พอสมควร แต่คิดว่า ณ ตอนนี้ สิ่งแรกที่ว่าที่ประธานาธิบดีคิด คือเมื่อเข้าไปบริหารประเทศแล้วแล้วจะทำงานร่วมกับสถาบันอื่นๆ ได้อย่างไรมากกว่า
การเคลื่อนไหวนอกสภายังเป็นเรื่องที่สำคัญ เช่น ในอดีตพรรค NLD เคยทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน แต่บทบาทในสภานั้นมีน้อย จึงต้องออกมาเคลื่อนไหวนอกสภาเป็นหลัก ในอนาคตหากพรรค NLD ครองเสียงส่วนมากในสภา ก็จะมีกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนออกมาเคลื่อนไหวนอกสภาแน่นอน สำหรับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพรรค NLD ส่วนใหญ่จะเป็นชนกลุ่มน้อย และกลุ่มพุทธที่มีความขัดแย้งกันภายใน
กองทัพกับการเมือง ประสานงานกันได้ด้วยวาจา
อ.วิรัช กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลเรื่องการบริหารประเทศของประธานาธิบดีภายใต้บังเหียนของกองทัพจะขับเคลื่อนไปทางใดนั้น การเมืองของพม่ามีลักษณะใช้การเจรจากัน หมายถึง ถ้ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายใดๆ อาจจะต้องมีการปรึกษาพูดคุยกับกองทัพก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ส่วนอำนาจของกองทัพที่แทรกแซงทางการเมืองก็มีอยู่แล้ว คือ เสียงคัดค้านที่มีอยู่ในสภา แต่ถ้าถามว่า ประธานาธิบดีที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศไม่ได้มาจากคนในกองทัพหรืออดีตทหาร จะมีอำนาจเต็มในการสั่งการหรือไม่ ตรงนี้ต้องตอบตามตรงว่า "พูดยาก!!"
“หากจะมีการลดบทบาทของกองทัพเพื่อให้ประเทศพม่ามีประชาธิปไตยแบบ 100 % จะต้องมีเหตุผลที่ดีพอสมควร ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการพยายามลดบทบาทของกองทัพลงแล้ว แต่ไม่สำเร็จ” อ.วิรัชกล่าว
มองการเมืองพม่า ต้องมีความเข้าใจ
หากจะนิยามประชาธิปไตยแบบพม่า อ.วิรัช อธิบายว่า ในระดับนานาชาติ จะทราบดีอยู่แล้วว่าประชาธิปไตยของพม่าไม่ใช่ลักษณะของประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นไปตามเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในอดีตพม่าปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม ก็เป็นสังคมนิยมแบบพม่า เมื่อเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตยก็ยังคงเป็นประชาธิปไตยในวิถีของพม่า ในแต่ละประเทศจะให้มีประชาธิปไตยที่เหมือนกันหมดคงไม่ได้
thairath
เหตุการณ์แปลกๆ วันเลือกตั้ง พบเห็นบ้าง แต่โดยรวมราบรื่น
นายวินมิตร โยสาละวิน ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำประเทศเมียนมา เล่าบรรยากาศแห่งประชาธิปไตยของชาวพม่าว่า “บรรยากาศทั้งก่อน และระหว่างที่มีการเลือกตั้ง เป็นไปอย่าคึกคัก ประชาชนชาวเมียนมา ต่างตื่นตัวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้”
ชาวพม่าให้ความสนใจในการเลือกตั้งครั้งนี้มาก ส่วนใหญ่จะแสดงออกถึงการสนับสนุนพรรค NLD ของ นางอองซาน ซูจี อย่างชัดเจน เช่น เวลาที่นางอองซาน ซูจี ทำการหาเสียงตามที่ต่างๆ ประชาชนจะพากันร่วมแห่ให้การต้อนรับ โดยเฉพาะที่เมืองใหญ่อย่างมัณฑะเลย์ ชาวบ้านต่างแสดงจุดยืนว่าจะให้การสนับสนุน นางซูจี
ออง ซาน ซูจี ขวัญใจมหาชนชาวพม่า |
ซูจี เป็นตัวเต็งที่จะชนะการเลือกตั้ง |
สภาพม่า..เลือกตั้งเพื่อสรรหาตัวแทน
สำหรับการเมืองของพม่าที่ฟังดูแล้วอาจจะซับซ้อน ผศ.วิรัช นิยมธรรม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำหลักสูตร ศศ.บ. พม่าศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร ฉายภาพให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า อย่างแรกต้องทำความเข้าใจการเมืองของประเทศพม่าก่อน มีลักษณะการทหารนำการเมือง ในสภาของพม่า จะมีผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง 75% ส่วนอีก 25% เป็นโควตาผู้แทนจากกองทัพ ซึ่งสภาของพม่า มีด้วยกัน 2 สภา คือ
1.สภาสูง มีที่นั่งทั้งหมด 224 ที่นั่ง แบ่งเป็นโควตาของกองทัพ 25% เท่ากับ 56 ที่นั่ง และของผู้แทนฯจากการเลือกตั้ง 75% เท่ากับ 168 ที่นั่ง
2.สภาล่าง มีที่นั่งทั้งหมด 440 ที่ แบ่งเป็นโควตาของทหาร 25% เท่ากับ 110 ที่นั่ง และของผู้แทนจากการเลือกตั้ง 75% เท่ากับ 330 ที่นั่ง
อ.วิรัช ผู้ศึกษาเกี่ยวประเทศพม่าอย่างเจาะลึก |
“การเลือกตั้งครั้งนี้ยังไม่สำคัญเท่าช่วงเวลา 2-3 เดือนหลังจากนี้ ที่จะเป็นขั้นตอนการเสนอชื่อ บุคคลขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดี” อ.วิรัช กล่าว
“รัฐบาลเปรียบได้กับการทำงานเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะเคยสังกัดพรรคการเมืองไหนมาก่อน เมื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วจะต้องทำงานร่วมกันได้ ส่วนเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง กองทัพที่เป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากสถาบันกองทัพจะอยู่เหนือการเมืองอีกที” อ.วิรัช กล่าว
อ.วิรัช กล่าวถึงบทบาทของกองทัพพม่าว่า ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลและชนกลุ่มน้อยมานานหลายทศวรรษ ฉะนั้นกองทัพจึงใช้ความมั่นคงของชาติอ้างความชอบธรรมในการมีบทบาทดูแลประเทศ แม้วันนี้ปัญหาชนกลุ่มน้อยจะเลยจุดวิกฤติไปแล้ว ส่งผลให้เริ่มเกิดประชาธิปไตยแต่ทางกองทัพก็ยังคงไม่อาจไว้วางใจได้
ปัจจุบัน มีการเจรจาหยุดยิงกับชนกลุ่มน้อยไปแล้วหลายกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะไม่เกิดการสู้รบกันอีก ส่วนชนกลุ่มน้อยที่ยังไม่ได้ทำข้อตกลงเรื่องสันติภาพกับรัฐบาลพม่า ยังมีปริมาณเกือบครึ่ง เนื่องจากเงื่อนไขในการเจรจา จำเป็นจะต้องดูเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยเป็นสำคัญ จึงยังไม่สามรถตกลงกันได้
“เรื่องความมั่นคงของชาติ จึงทำให้รัฐธรรมนูญ กำหนดสเปกประธานาธิบดี จะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการทหาร”
เลือกตั้งเสรี กองทัพรู้ดีว่าผลจะเป็นอย่างไร
อาจารย์ประจำ ม.นเรศวร เชี่ยวชาญการเมืองพม่า อธิบายถึงพรรค USDP ว่า เป็นพรรคการเมืองที่มีอดีตนายทหารเป็นสมาชิกจำนวนมาก ถึงแม้พรรคจะมีความสัมพันธ์กับกองทัพ แต่เมื่อมาทำหน้าที่ทางการเมืองแล้ว กองทัพก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งแน่นอนว่า การแข่งขันทางการเมืองของพรรค USDP ย่อมเสียเปรียบพรรค NLD เพราะประชาชนคุ้นเคยกับการปกครองโดยระบอบทหารมาอย่างยาวนาน ทำให้อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรค NLD ของนางออง ซาน ซูจี จะได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น ประชาชนชาวพม่า มองว่า ซูจี คือความหวังเดียวของประชาชน ที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบที่ประชาชนต้องการได้
แต่ที่เป็นเรื่องน่าดีใจ คือ การเลือกตั้งที่เสรีครั้งนี้จะทำให้เสียงในสภามีความสมดุลมากขึ้น บทบาทของกองทัพอาจจะลดลง และหากพรรคของนางซูจีไม่ได้เป็นรัฐบาล การทำหน้าที่ในฐานะของพรรคฝ่ายค้านก็จะหนักแน่นมากขึ้นด้วย นักการเมืองจะสามารถทำให้การทำหน้าที่ตามกลไกระบบรัฐสภาอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
คนแห่มาใช้สิทธิ์ 80% สะท้อนอารมณ์คนพม่า
ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า ยังกล่าวต่ออีกว่า การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ มีประชาชนชาวพม่าออกมาใช้สิทธิ์ถึง 80% และผลการเลือกตั้ง ก็เป็นไปตามที่คาดหวังอยู่แล้ว แม้นโยบายของแต่ละพรรคอาจจะจับต้องได้ยาก แต่เรื่องการเมืองพม่านั้น เกิดจากอารมณ์ของประชาชนที่ไม่ชอบกองทัพเป็นทุนเดิม จึงแสดงออกด้วยการเทคะแนนเสียงให้กับพรรค NLD ส่วนคำพูดตอนหาเสียงของ ออง ซาน ซูจี ที่กล่าวไว้ว่าหากได้รับชัยชนะ จะมีอำนาจเหนือประธานาธิบดีนั้น เป็นเพียงกลยุทธ์ด้านการหาเสียง การจะมีอำนาจเหนือประธานาธิบดีนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากเป็นการกำหนดนโยบายของ
พรรคการเมือง แล้วประธานาธิบดีจะนำนโยบายนั้นไปใช้ย่อมทำได้ แต่อย่าลืมว่าต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาก่อน และที่สำคัญนโยบายนั้นจะต้องไม่ถูกคัดค้านจากกองทัพด้วย
อุปสรรคที่รัฐบาลพม่าชุดใหม่จะต้องฝ่าฟันในการบริหารประเทศคือ โครงสร้างรัฐเป็นโครงสร้างแบบเก่า วัฒนธรรมองค์กรยังไม่ทันสมัย การจะเปลี่ยนแปลงวิธีทำงานของราชการไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ส่วนประเด็นสำคัญที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน เช่น ยกระดับการศึกษา การสร้างงาน การปราบปรามทุจริต ขจัดระบบพวกพ้องระหว่างทหารกับกลุ่มทุน ประชาชนต่างคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ แต่เชื่อว่าระยะเวลา 5 ปี ของรัฐบาล จะสามารถแก้ปัญหาได้พอสมควร แต่คิดว่า ณ ตอนนี้ สิ่งแรกที่ว่าที่ประธานาธิบดีคิด คือเมื่อเข้าไปบริหารประเทศแล้วแล้วจะทำงานร่วมกับสถาบันอื่นๆ ได้อย่างไรมากกว่า
กองทัพกับการเมือง ประสานงานกันได้ด้วยวาจา
อ.วิรัช กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลเรื่องการบริหารประเทศของประธานาธิบดีภายใต้บังเหียนของกองทัพจะขับเคลื่อนไปทางใดนั้น การเมืองของพม่ามีลักษณะใช้การเจรจากัน หมายถึง ถ้ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายใดๆ อาจจะต้องมีการปรึกษาพูดคุยกับกองทัพก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ส่วนอำนาจของกองทัพที่แทรกแซงทางการเมืองก็มีอยู่แล้ว คือ เสียงคัดค้านที่มีอยู่ในสภา แต่ถ้าถามว่า ประธานาธิบดีที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศไม่ได้มาจากคนในกองทัพหรืออดีตทหาร จะมีอำนาจเต็มในการสั่งการหรือไม่ ตรงนี้ต้องตอบตามตรงว่า "พูดยาก!!"
มองการเมืองพม่า ต้องมีความเข้าใจ
หากจะนิยามประชาธิปไตยแบบพม่า อ.วิรัช อธิบายว่า ในระดับนานาชาติ จะทราบดีอยู่แล้วว่าประชาธิปไตยของพม่าไม่ใช่ลักษณะของประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นไปตามเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในอดีตพม่าปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม ก็เป็นสังคมนิยมแบบพม่า เมื่อเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตยก็ยังคงเป็นประชาธิปไตยในวิถีของพม่า ในแต่ละประเทศจะให้มีประชาธิปไตยที่เหมือนกันหมดคงไม่ได้
thairath
Post A Comment:
0 comments: